วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

มะยม

มะยม
Phyllanthus acidus Ph. by Shashidhara halady.JPG
มะยมในอินเดีย
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร:Plantae
หมวด:พืชดอก Magnoliophyta
ชั้น:พืชใบเลี้ยงคู่ Magnoliopsida
อันดับ:Malpighiales
วงศ์:Phyllanthaceae
เผ่า:Phyllantheae
เผ่าย่อย:Flueggeinae
สกุล:Phyllanthus
สปีชีส์:P.  acidus
ชื่อทวินาม
Phyllanthus acidus
(L.Skeels.
ชื่อพ้อง
Phyllanthus distichus Müll.Arg.
Cicca acida Merr.
Cicca disticha L.
Averrhoa acida L.
มะยม (ชื่อวิทยาศาสตร์Phyllanthus acidus) ภาคอีสานเรียกว่า หมากยม ภาคใต้เรียกว่า ยม เป็นไม้ยืนต้น ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงประมาณ 3 – 10 เมตร ลำต้นตั้งตรง เปลือกต้นขรุขระสีเทาปนน้ำตาล แตกกิ่งที่ปลายยอด กิ่งก้านจะเปราะและแตกง่าย ใบประกอบ มีใบย่อยออกเรียงแบบสลับกันเป็น 2 แถว แต่ละก้านมีใบย่อย 20 – 30 คู่ ใบรูปขอบขนานกลมหรือค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือมน ขอบใบเรียบ ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่ง ดอกย่อยสีเหลืองอมน้ำตาลเรื่อๆ ติดผลเป็นพวง ผลมีสามพูชัดเจน เมื่ออ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง เนื้อฉ่ำน้ำ เมล็ดรูปร่างกลม แข็ง สีน้ำตาลอ่อน 1 เมล็ด มีทั้งพันธุ์เปรี้ยวและพันธุ์หวาน ซึ่งมีรสหวานอมฝาด ผลจะอ่อนนุ่มเมื่อสุก จึงเก็บเกี่ยวก่อนผลจะหล่นจากต้น ถิ่นกำเนิดอยู่ที่เอเชียใต้และอเมริกันเขตร้อน
ชื่อวงศ์ : EUPHORBIACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Phyllanthus acidus (L.) Skeels
ชื่อพ้อง : Phyllanthodendron acidus (L.) Skeel
ชื่อสามัญ : Star gooseberry
ชื่อพื้นเมืองอื่น : มะยม (ทั่วไป) ; หมักยม, หมากยม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-อุดรธานี) ; ยม (ภาคใต้)
จุดกำเนิดและการแพร่กระจาย
พืชชนิดนี้พบได้ทั่วเอเชีย และพบปลูกตามบ้านในแคริบเบียน อเมริกากลาง และอเมริกาใต้กระจายพันธุ์ข้ามมหาสมุทรอินเดียไปจนถึงมอริเชียส และข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงฮาวาย แพร่กระจายไปจนถึงภูมิภาคทะเลแคริบเบียนเมื่อ พ.ศ. 2336 โดยวิลเลียมไบลก์นำมะยมจากติมอร์ไปยังจาเมกา พืชชนิดนี้พบได้ทั่วไปในกวม อินโดนีเซีย เวียดนามใต้ ลาว ตอนเหนือของคาบสมุทรมลายู และอินเดีย ยังคงพบพืชชนิดนี้ในฟิลิปปินส์ ไทย กัมพูชา และฮาวาย พบเห็นได้ในเปอร์โตริโก เอกวาดอร์ เอลซัลวาดอร์ เม็กซิโก โคลอมเบีย เวเนซุเอลา สุรินาเม เปรู และบราซิล

การใช้ประโยชน์


ผล
มะยมใช้รับประทานเป็นผลไม้สดและแปรรูป เช่น แช่อิ่ม ดอง น้ำมะยม แยม หรือกวน ใช้ทำส้มตำ ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักสด กินกับน้ำพริก ลาบ ส้มตำ ขนมจีน ในอินเดียและอินโดนีเซีย นำใบไปปรุงอาหาร ผลใช้ปรุงรสอาหารในอินโดนีเซีย ในฟิลิปปินส์ใช้ทำน้ำส้มสายชู หรือกินดิบหรือดองในเกลือและน้ำส้มสายชู ในมาเลเซียนิยมนำไปเชื่อม ในอินเดียและอินโดนีเซียนิยมนำใบมะยมไปประกอบอาหาร เนื้อไม้แข็งแรง ทนทาน แต่ต้นไม่ใหญ่มาก ในอินเดีย เปลือกไม้ใช้เป็นแหลางของแทนนิน
ผลมะยมมีฤทธิ์กัดเสมหะและเป็นยาระบาย ใบเป็นส่วนประกอบของยาเขียว ตำราไทยใช้ รากแก้ไข รักษาโรคผิวหนัง น้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน ใบ ต้มน้ำอาบแก้คัน แก้ไข้ เหือด หิด อีสุกอีใส ในผลมีแทนนิน เดกซ์โทรส เลวูโลส ซูโครส วิตามินซี ในรากมี beta-amyrin, phyllanthol, แทนนิน ซาโปนิน กรดแกลลิก น้ำเชื่อมใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร ในอินเดียผลใช้เป็นตัวกระตุ้นเลือดสำหรับตับ  มะยมมี 4-hydroxybenzoic acid กรดคาเฟอิก adenosinekaempferol และกรดไฮโปแกลลิก สารสกัดจากมะยมที่สกัดด้วยเอทานอลมีประสิทธิภาพดีทในการยับยั้งการเจริญของ E. coli O157:H7 และ Propionibacterium acnes
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ รสและสรรพคุณในตำรายา
ไม้ต้นขนาดเล็ก (ExST) สูงประมาณ 3-10 เมตร ลำต้นตั้งตรงเปลือกต้นเป็นปุ่มปม ขรุขระ สีเทาปนน้ำตาล แตกกิ่งก้านแผ่กระจาย กิ่งก้านเปราะและแตกง่าย มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความชราความความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ช่วยดับร้อน ปรับสมดุลในร่างกาย มีวิตามินซีสูงช่วยต้านหวัด เป็นยาระบาย 
ราก   
รสจืด เป็นยาแก้โรคผิวหนัง เม็ดผดผื่นคัน ช่วยขับน้ำเหลือง ดับพิษเสมหะโลหิต ประดง ทาแก้คัน สูดไอร้อนแก้ไอ แก้หืดหอบ แก้ปวดศีรษะ น้ำยางเปลือกรากมีพิษเล็กน้อย ถ้ากินเข้าไปจะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ปวดศีรษะและง่วงซึม


เปลือกต้น 
     รสจืด หรือแก้ไข้เพื่อโลหิต แก้ผดผื่นคัน นำเปลือกของลำต้นมาต้มกับน้ำดื่มช่วยแก้ไข้ทับระดู แก้น้ำเหลืองเสียให้แห้ง


ใบ
     เป็นใบรวม มีใบย่อยออกเรียงสลับกันเป็น 2 แถวบนกิ่งที่เรียงอยู่รอบ ๆ ใกล้ปลายกิ่ง ลักษณะใบรูปขอบขนานกลมหรือรูปค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน โคนใบมน ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม แผ่นใบบาง สีเขียวอ่อน หรือเขียวอมเหลือง ท้องใบหรือด้านล่างสีนวล ก้านใบสั้น 
     รสจืดมัน เป็นยาแก้ไอ บำรุงประสาท ขับเสมหะ ปรุงเป็นส่วนประกอบของยาเขียวรับประทานดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน ไข้หัวต่าง ๆ แก้โรคหัดเหือด ต้มรวมกับใบหมากผู้หมากเมีย ใบมะเฟือง อาบแก้ผื่นคัน พิษไข้หัว เหือด หัด สุกใส ดำแดง และฝีดาษ น้ำต้มใบดื่มพร้อมผลเป็นยาขับเหงื่อ แก้เบาหวาน บำรุงตับอ่อนให้แข็งแรงและสามารถผลิตน้ำตาลในภาวะสมดุล ลดความดันโลหิต บรรเทาอาการปวดหัว แก้ไข้หัด แก้สำแดง นำมาต้มน้ำอาบช่วยรักษาโรคอีสุกอีใสและแก้พิษคัน



ดอก 
    ออกดอกเป็นช่อเล็ก ๆ แบบช่อแยกแขนง ออกช่อดอกตามลำต้น หรือกิ่งที่ไร้ใบ ช่อดอกสีชมพู ส่วนดอกมีขนาดเล็ก กลม กลีบดอกรูปทรงกลม หรือรูปทรงกลมแกมรูปไข่สีเขียวอ่อน หรือดอกแดงเรื่อ ๆ เป็นดอกแบบสมมาตรตามรัศมี
       รสเปรี้ยวฝาด ใช้ล้างและชำระฝ้านัยน์ตา แก้โรคในตาได้ดี



ผล 
     ลักษณะผลกลมแป้นห้อยเป็นพวงระย้า ตามกิ่งและลำต้น มีขนาดเล็ก ด้านบนบุ๋ม ด้านล่างแบน ผลอ่อนมีสีเขียวอ่อน และจะออกสีเหลืองอมขาวเมื่อแก่
      สเปรี้ยวสุขุม กัดเสมหะ แก้ไอ บำรุงโลหิต และระบายท้อง โขลกรวมกับพริกไทยเป็นยาพอกแก้ปวดกล้ามเนื้อ และปวดหลัง น้ำต้มใบดื่มพร้อมกับผล เป็นยาขับเหงื่อ ผลรับประทานได้ทั้งดิบและสุก มีรสเปรี้ยว มีฤทธิ์เป็นกรด ใช้ทำแยมหรือเชื่อมก็ได้ เป็นยาฝาดสมาน แก้หลอดลมอักเสบ และขับปัสสาวะ นำผลมะยมตำรวมกับพริกไทยพอกตามส่วนของร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ไขข้ออักเสบได้



เมล็ด 
        กลมแข็งและเป็นเหลี่ยม มีหนึ่งเมล็ด



กาฝากมะยม 
        ใช้ต้มเอาน้ำดื่มช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ มีวิตามินซี ใช้เป็นยาลดบุหรี่ เลิกบุหรี่

นิเวศวิทยา
        เป็นไม้ในเมืองไทย ชอบกลางแจ้ง ปลูกได้ทั่วไปในเขตร้อน นิยมปลูกไว้ตามบ้านเรือน เพื่อความเป็นสิริมงคล และประโยชน์ใช้สอย

การปลูกและขยายพันธุ์
        เจริญเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิดทั้งที่แดดจัดหรือรำไร แต่จะชอบดินร่วนซุยที่น้ำไม่ขัง มีความชื้นพอเหมาะ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด



วิธีและปริมาณที่ใช้
แก้ไข้ทับระดู หรือแก้ไข้เพื่อโลหิต โดยใช้เปลือกต้นสด 1 ฝ่ามือ หรือประมาณ 30-50 กรัม นำมาสับเป็นชิ้น ต้มในน้ำ 1 ลิตร เคี่ยวให้เหลือครึ่งหนึ่ง กรองเอาน้ำดื่ม เช้า-เย็น
แก้ไอ ปวดศีรษะ โรคผิวหนัง เม็ดผดผื่นคัน โดยใช้รากสดประมาณ 1 กำมือ หรือ 50 กรัม ล้างให้สะอาดต้มในน้ำ 1 ลิตร กรองเอาน้ำดื่มเป็นประจำ
ชำระล้างและชำระฝ้านัยน์ตา โดยใช้ดอกสดนำมาต้มแล้วกรองเอาน้ำมาชำระล้าง